พนักงานออฟฟิศคือหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า หลายองค์กรเริ่มปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในออฟฟิศเพื่อสร้างความสุขให้แก่พนักงาน ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกมากมาย แต่หากมีมากไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะพนักงานทุกคนไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีที่หลากหลายเหมือนกัน แต่พนักงานทุกคนต้องการพื้นที่ทำงานที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 เหมือนกัน ดังนี้แล้วการออกแบบสำนักงานโมเดิร์นจึงเข้ามามีบทบาทในการสร้างความสุขให้แก่พนักงาน

ออกแบบสำนักงานโมเดิร์นคืออะไร มีอิทธิพลต่อพนักงานมากแค่ไหน

เมื่อกล่าวถึงคำว่า “โมเดิร์น” หลายคนก็จะหันไปมองถึงเทคโนโลยีแล้วเหมารวมว่านี่คือสไตล์โมเดิร์น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรีโนเวทออฟฟิศสไตล์โมเดิร์นมีรายละเอียดที่ล้ำลึกมากกว่านั้น และมากจนมีอิทธิพลต่อศักยภาพการทำงานของพนักงานเลยทีเดียว เพราะหัวใจหลักของโมเดิร์นคือ ความเรียบง่าย ความพอดี เน้นพื้นที่ใช้สอย และใช้ความสวยงามจากวัสดุธรรมชาติ หรือนักออกแบบหลายคนจะเรียกสไตล์นี้ว่า Infinity Design คือพื้นที่ที่สามารถตกแต่งได้อย่างไร้ขีดจำกัด สวยงาม แปลกตา แต่ไม่แปลกแยก ดังนั้นการออกแบบสำนักงานโมเดิร์นจึงหมายถึงการลดความหนาทึบของอาคารคอนกรีต และปลดปล่อยพนักงานออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมที่เงยหน้าแล้วเห็นเพียงไฟเพดาน ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. ใช้ต้นไม้เพื่อลดความหนาทึบ

อาคารและผนังคอนกรีตเป็นตัวจำกัดศักยภาพการทำงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมตัวอาคาร หรือการสร้างห้องทำงานใหม่ ล้วนไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังให้พนักงานได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การรีโนเวทออฟฟิศโดยนำพื้นที่ใช้สอยที่ใช้งานน้อยมาเชื่อมต่อและเปิดถึงกันเป็นพื้นที่ส่วนกลาง และนำต้นไม้เข้ามาจัดวางอย่างมีระเบียบ พร้อมตั้งโซฟายาวและเคาน์เตอร์สำหรับชงเครื่องดื่มจะช่วยให้พนักงานได้ผ่อนคลายความเครียด อีกทั้งพื้นที่ส่วนกลางนี้จะไม่ใช่เพียงพื้นที่ชงกาแฟแบบองค์กรทั่วไป แต่ต้องเป็น Workspace ที่พนักงานสามารถนั่งทำงาน ระดมสมอง และมองต้นไม้ได้ตลอดเวลา เพราะสีเขียวและรูปทรงของต้นไม้จะลบความแข็งกระด้างของสีขาวและเหลี่ยมมุมของอาคารคอนกรีตได้เป็นอย่างดี

2. ต้องมีแสงธรรมชาติ

หลายองค์กรใช้งานหน้าต่างค่อนข้างเยอะ เพื่อเปิดให้แสงและลมธรรมชาติผ่านเข้ามาได้อย่างเต็มที่ แต่ลักษณะนี้ไม่ใช่แนวทางการออกแบบสำนักงานโมเดิร์น เพราะดังที่ได้กล่าวไป “มากไปใช่ว่าจะดี” การจัดแสงของออฟฟิศสไตล์โมเดิร์น คือการติดตั้งผนังกระจกแบบสะท้อนรังสียูวีในมุมที่เห็นวิวสวยงามที่สุด เพื่อเปิดให้แสงส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากความร้อน และพนักงานสามารถรับวิวได้อย่างทั่วถึง โดยการติดตั้งผนังกระจกอาจเลือกให้อยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง โดยเลือกใช้กระจกขนาดใหญ่แบบเต็มบาน เพื่อการรับชมวิวแบบไร้รอยต่อ และอีก 1 จุดที่ควรอยู่ในมุมที่วิวสวยที่สุดคือห้องประชุม เพราะจะช่วยลดความกดดันจากการประชุม กระตุ้นไอเดียของพนักงาน อีกทั้งช่วยให้ผลการเจรจาธุรกิจออกมาในทิศทางที่ดี

3. ต้องมีพื้นที่โซเชียล

พื้นที่โซเชียลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพื้นที่สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่เป็นการออกแบบออฟฟิศโมเดิร์นที่มีพื้นที่เปิดโล่งสามารถมองเห็นพนักงานคนอื่นได้ เช่น การเลือกเจาะเปิดเพดานให้มีความสูงแบบ Double Volume หรือสูงมากกว่านั้น เพื่อจัดเป็นโซนนั่งทำงานที่สามารถปลูกต้นไม้ได้ สามารถมองเห็นพนักงานชั้นอื่น ๆ และสามารถพูดคุยกันได้ จะช่วยให้พนักงานมีความสามัคคีกันมากขึ้น ลดความขัดแย้งกันในออฟฟิศ

4. ถึงเป็นคอนกรีตต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติ

หนึ่งในหัวใจหลักของสไตล์โมเดิร์นคือ การออกแบบออฟฟิศโมเดิร์นโดยเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ เพื่อสร้างความแปลกตา และกระตุ้นความรู้สึกอยากมาทำงานของพนักงาน ด้วยการใช้สไตล์ Loft มารีโนเวทออฟฟิศ ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของสไตล์โมเดิร์นที่โชว์ความมีเสน่ห์ของวัสดุก่อสร้าง เช่น ผนังก่ออิฐแดงแบบไม่ต้องฉาบปูนทับ เพดานที่ไม่ต้องมีฝ้า การใช้งานคอนกรีตและกระจกในสัดส่วนที่เท่ากัน การใช้หินอ่อนหรือกระเบื้องลายหินอ่อน การใช้งานไม้หรือวัสดุลายไม้ และการโชว์โครงสร้างเหล็กหรือการใช้วัสดุปิดผิวลายเหล็ก เป็นต้น สไตล์ Loft จะช่วยให้พนักงานมีความตื่นเต้นและสนุกกับการทำงาน

จะเห็นได้ว่าการออกแบบออฟฟิศโมเดิร์นไม่ได้มุ่งเน้นที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพียงเดียว แต่ผสมผสานไปด้วยการออกแบบสิ่งแวดล้อมให้พนักงานมีความรู้สึกอยากมาทำงาน ทำให้ออฟฟิศกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 โดยที่ไม่ได้มีเพียงผนังหนาทึบและไฟเพดาน เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกแบบมาให้สามารถคิดไอเดียในห้องสี่เหลี่ยมหนาทึบได้ แต่ไอเดียจะเกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง มีการพูดคุยเจรจา และมีอิสระในการเลือกที่นั่งทำงานไม่จับเจ่าอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองตลอดทั้งวัน